เทศน์พระ

อึ่งอ่างพองตัว

๘ ก.ค. ๒๕๕๖

 

อึ่งอ่างพองตัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งสติเนอะ ตั้งสติไว้แล้วฟังธรรม ฟังธรรมนะ ธรรมะนี่มันเข้าไปเบียดเบียนกดดันกิเลสของเรา กิเลสของเราน่ะ ทุกคนมันมีทิฏฐิมานะกันทุกคน ความเป็นทิฏฐิมานะ เห็นไหม แรงขับเคลื่อน ถ้าแรงขับเคลื่อน ดูสิดูน้ำมัน ดูความเข้มข้นของมัน ถ้าน้ำมันมันมีความสะอาดบริสุทธิ์ของมัน มันมีความเข้มข้นของมัน มันจะได้ประโยชน์มาก มันมีกำลังมาก

นี่ก็เหมือนกัน ทิฏฐิมานะในหัวใจ ในเมื่อมีมากมีน้อย มันมีทุกคนน่ะ ถ้ามีมากมีน้อยฟังธรรมๆ ฟังก็เพราะเหตุนี้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วถึงมารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อเหตุใด เพื่อให้หัวใจนี้พ้นออกไปจากทุกข์ ออกไปจากทุกข์ ออกไปจากการควบคุมของพญามาร ถ้าพญามารในหัวใจของเรา เห็นไหม

นี่ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง แล้วธรรมมันนี่มันเป็นธรรมจริงหรือเปล่า ธรรม เห็นไหม ธรรมที่มันออกมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็เข้ากิเลสไง หน้าไหว้หลังหลอก พูดอย่างทำอย่าง แล้วมันไม่เป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงนะ เราเองเราก็ไม่เชื่อไง

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราท่านแสวงหาความจริงนะ ท่านแสวงหาผู้ที่ชี้นำได้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่เป็นตามความจริงมันจะไปสอนได้อย่างไร หลวงตาท่านพูดนะ เวลาหาครูบาอาจารย์ที่มาแก้จิตๆ น่ะ เวลาพูดออกมา “คำพูดอย่างนี้หรือจะมาแก้จิตของเรา” มันฟังไม่ได้ มันไม่มีเหตุมีผลไง ใจของเราเราฝึกหัดภาวนามา เรามีเหตุมีผลของเรานะ ถ้าเราไม่มีเหตุมีผลของเราด้วยปัญญา ถ้าไม่มีเหตุผลของปัญญานี่กิเลสมันไม่ยอมรับ ถ้ากิเลสมันไม่ยอมรับมันลงสงบไม่ได้หรอก ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาเราใช้ปัญญาเข้าไปๆ กิเลสมันโต้แย้งไม่ได้ ถ้าโต้แย้งไม่ได้ด้วยเหตุด้วยผล เหตุและผลรวมลงคือธรรม ถ้าเหตุผลมันคือธรรม เวลาปัญญามันใคร่ครวญไปกิเลสมันยอมจำนนไง ถ้ายอมจำนนมันยอมแพ้ ถ้ายอมแพ้มันสงบตัวลง นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ

แต่ถ้ามันใช้ปัญญาแยกแยะ ภาวนามยปัญญาเพื่อจะชำระล้างกิเลส มันจะลึกซึ้งไปกว่านั้นอีก เวลามรรคมันก้าวเดินไปแล้วนี่ เห็นไหม เวลาขยะที่มันจุดติดแล้ว สิ่งใดที่เป็นเชื้อเป็นไข เป็นเชื้อโรคต่างๆ ถ้ามันได้จุดติดนะ จุดติดด้วยอะไร? ด้วยมรรคญาณ ถ้าจุดติดแล้วมันจะเผาไหม้ของมันไป ถ้าเผาไหม้ไปนี่มันจะทำลายพญามารอย่างนั้น ถ้าปัญญาอย่างนั้นเกิดขึ้นมา ผู้ภาวนาปรารถนาตรงนั้น

ฉะนั้นสิ่งที่ทำออกมาจากใจ ออกมาจากสัจจะความจริงมันมีเหตุมีผลไง เวลาครูบาอาจารย์เราท่านถามธรรมะ ข้อธรรมะ ท่านตอบคำเดียวๆ คำเดียวก็จบแล้ว แต่ถ้าขยายความยืดเยื้อไป เห็นไหม เพราะคนตอบก็ตอบด้วยความไม่แน่ใจ ถ้าไม่แน่ใจนะ ไม่แน่ใจมันก็อ้างอิง น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนั้น

แต่หลวงปู่มั่นท่านบอก “ต้อง!” ต้องอย่างนั้นเลย ออกเป็นอื่นไปไม่ได้ ออกเป็นอื่นไปออกนอกอริยสัจ นี้ถ้าออกอริยสัจไปนี่ความจริงมันเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น เวลาฟังเทศน์ ฟังเทศน์เพื่อหัวใจของเรานะ นี่ฟังธรรมอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีชีวิตอยู่เราก็ยังนอนใจไง ว่าเรายังมีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง เรามีครูบาอาจารย์คอยดูแลเรา เห็นไหม เราไม่พัฒนาใจของเราขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านเสียไปนะ ดูสิหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านนิพพานไปแล้ว เวลานิพพานไปแล้วเราก็มาเสียใจทีหลังไง เสียใจว่าท่านล่วงไปแล้ว ไม่มีใครมาคอยแก้หัวใจของเรา ไม่แก้หัวใจของเรา กิเลสนี้มันร้ายนักนะ

ดูธรรมชาติของอึ่งสิ เวลาอึ่งมันจะพองตัวของมัน มันพองตัวของมัน มันพองตัวโดยธรรมชาติของมัน เวลาฝนตกขึ้นมานี่มันออกจากจำศีลของมัน เห็นไหม มันร้องของมัน ร้องให้เขาไปจับมันไง นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรามันอึ่งอ่าง มันจะจองหองพองขน มันจะชูหางไง ถ้ากิเลสมันชูหางกิเลสมันชูหางเพราะอะไร? เพราะครูบาอาจารย์ของเราไม่มีคุณธรรมพอที่สามารถจะทำให้หมามันหางตก ให้อึ่งอ่างมันไม่พองตัว ถ้าอึ่งอ่างมันพองตัวมันพองตัวเพราะเหตุใดล่ะ มันพองตัวเพราะธรรมชาติของมันนะ

อึ่งมันคืออึ่ง แต่กิเลสในหัวใจของเรามันร้ายกว่าไง อึ่งอ่างมันพองโดยธรรมชาติของมัน มันพองแล้วธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่เวลาหัวใจของเรา เห็นไหม เวลาเราฟังธรรมๆ เวลาธรรมมีสติปัญญาขึ้นมา มันทำให้กิเลสมันสงบตัวลงได้ เวลามีปัญญาขึ้นมามันกำจัดกิเลสได้ นั่นกิเลสมันเกิดขึ้นมามันเกิดเพราะความหลงไง มันเกิดเพราะความหลง เพราะเกิดทิฏฐิมานะของมัน มันถึงจองหองพองขน มันถึงพองตัวมัน มันเลยเป็นอึ่งอ่างไง เวลาเป็นอึ่งอ่างขึ้นมานี่อึ่งอ่างมันเป็นโทษไหมล่ะ มันเป็นโทษกับตัวมันเองเพราะอึ่งอ่างมันทำให้ชีวิตมันเอง นี่ชีวิตของมัน เห็นไหม มันร้องขึ้นมาเพื่อให้เขาไปจับมัน พอไปจับมันขึ้นไปนี่เขาเอาไปฆ่า ไปทำเป็นอาหารของมัน ชีวิตมันก็เสียไป นี่ไง อึ่งอ่าง อึ่งอ่างมันพองตัวมัน

กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสเวลามันพองตัวขึ้นมามันไม่รู้ตัวมันนะ พอไม่รู้ตัวขึ้นมานี่ มันทำสิ่งใดมันคิดว่ามันทำถูกๆ ไง ถ้าทำถูกแล้วมันทำลายใคร ก็ทำลายโอกาสของใจดวงนั้น ทำลายตัวเองทั้งนั้นน่ะ เวลาทำลายตัวเอง แต่เราไม่เห็นมันทำลายตัวเองไง เวลามันทำลายหัวใจเราแล้วเรายังพอใจไปกับมันนะ ยังอยากจะคิด อยากจะทำซ้ำทำซากอยู่อย่างนั้น เรายังไม่เห็นโทษของมัน

ถ้าเมื่อใดฟังธรรมๆ ของครูบาอาจารย์ ท่านบอกนั่นน่ะมันเป็นโทษๆ สิ่งที่เป็นคนมันเกิดมาจากไหน สิ่งที่เป็นนามธรรมมันเกิดดับในใจขึ้นมา เวลามันเกิดขึ้นมาน่ะ มันทำลายตัวเราไปเองแล้วนี่เรายังไม่เข้าใจมันเลย เห็นไหม เพราะเราคุ้นชินกับมัน

แต่เรามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาขึ้นมา ความเป็นอึ่งอ่าง อึ่งอ่างธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น แต่เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น มันถึงต้องเสียชีวิตของมันไปอย่างนั้น นี่เสียชีวิตไปแล้วชีวิตยังมันมีค่าขนาดนั้น เห็นไหม เราศึกษาไป อื่ม! ถ้าทำอย่างนั้นมันทำลายตัวมันเอง แล้วเวลาเราโกรธล่ะ เวลามันจองหองพองขนขึ้นมาในใจของเราล่ะ เวลามันมีทิฏฐิมานะขึ้นมา เห็นไหม นี่จิตเราเป็นอึ่งอ่างแล้ว นี่มันอึ่งอ่างแล้วมันพองขนแล้ว

พอมันมีสติปัญญาอย่างนั้นมันก็ไล่ต้อนเข้ามา มันทันกัน พอมันทันขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญา อึ่งอ่างมันไม่กล้าพองขึ้นมาในหัวใจเรานะ กิเลสมันไม่มีทิฏฐิมานะ มันจะไม่มีอำนาจเหนือใจเราไง นี่มันก็อายไง กิเลสมันอายมันก็หลบเลี่ยงไปไง หลบเลี่ยงไปจิตมันก็สงบลงได้ไง ถ้าจิตมันสงบลงได้เพราะอะไร เพราะเรามีสติมีปัญญา นี่เป็นอะไรล่ะ นี่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก นี่มันเป็นสติปัญญาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงในขณะที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันไม่ใช่ฟังใครมา ไม่ได้จำใครมา ไม่ได้ศึกษาแล้วพยายามสร้างภาพขึ้นมา ถ้าสร้างภาพขึ้นมา สร้างภาพกิเลสมันยิ่งหัวเราะเยาะ อึ่งอ่าง เห็นไหม ที่มันเป็นฝูง เวลามันร้องอึ่งอ่างๆ เป็นหนองน้ำไปเลย มันยิ่งร้องยิ่งเสียงดัง ยิ่งกระหึ่มไปเป็นทั่วท้องทุ่งเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันอยู่ในหัวใจ เวลามันจองหองพองขนขึ้นมา เวลามันคิดแล้วมันทำของมันแล้วนี่ มันยิ่งมีทิฏฐิมานะ มันยิ่งทำส่งเสริมกัน กิเลสมันยิ่งทำลายไปน่ะ กิเลสมันทำลายท่ามกลางหนองของใจ หัวใจทั้งหัวใจโดนทำลายไปหมดเลย แต่ถ้ามีสติปัญญาเราต่อสู้ เห็นไหม เราเก็บทีละเล็กทีละน้อย เราจะไปสอนอึ่งอ่างไม่ให้มันร้องไม่ให้มันพองตัวมันเป็นไปได้ไหม มันจะเป็นไปไม่ได้ อันนั้นมันเป็นบุคลาธิษฐาน นั่นมันเป็นอึ่ง มันเป็นสัตว์

แต่กิเลสทิฏฐิมานะนี่มันเป็นสิ่งที่มันอยู่กับเรา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันแยกแยะขึ้นมาแล้วมันอายของมัน เห็นไหม มันอาย มันยอมรับความเป็นจริง ถ้ามันอายมันยอมรับความจริง แม้แต่กิเลสมันยังยอมรับความเป็นจริงเลย ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรารักษาของเรา เราดูแลใจของเราไม่ให้จิตใจเราเป็นอึ่งอ่าง มันเป็นจิตโดยธรรมชาติ นี่ธาตุรู้ สันตติมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้อยู่แล้ว ทำไมไพล่ให้เป็นอึ่งอ่างเป็นสัตว์ไปได้ อึ่งอ่างมันเป็นสัตว์ มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันไม่ทำร้ายใคร มันทำร้ายตัวมันเอง

แล้วจิตของเรา จิตของเราแท้ๆ จิตของเรานี่ ดูสิเราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา เราบวชเป็นพระด้วย บวชมาเป็นพระเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ทำไมให้อึ่งอ่างมาครอบครองหัวใจเราล่ะ ทำไมไม่ให้ธรรมมันเกิดขึ้นในใจของเรา ถ้าธรรมเกิดขึ้นในใจของเรา ธรรมมันคืออะไรล่ะ ธรรมมันคืออะไร

สัจธรรม เห็นไหม ดูสิ ถ้ามันเป็นศึกษาในตำรา ตำรานั้นก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมคือเหตุและผล สัจจะความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วสั่งสอนเราเป็นทฤษฎีวางไว้ ถ้าธรรมแบบนั้นเป็นภาคทฤษฎี เห็นไหม ธรรมเป็นภาคทฤษฎี เราศึกษามาศึกษามาก็ความรู้ของเรา

เวลาเราศึกษาขึ้นมา ภาคปริยัติเราก็มีความรู้ เราก็มีวุฒิภาวะขึ้นมา เราก็ทะนงตนว่าเรามีความรู้ แหม เราศึกษามาขนาดนี้เรารู้รอบไปหมดเลย แหม ทำไมเราฉลาดได้ขนาดนี้ โอ๊ย มันยอดเยี่ยม นั่นน่ะอึ่งอ่าง อึ่งอ่างตัวใหญ่มันครอบงำหัวใจแล้วล่ะ

ถ้ามีสติปัญญา นั่นน่ะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้วนี่ ถ้ามีสติปัญญามันเอาสิ่งนั้น เอาธรรมโอสถอย่างนั้นมาชโลมหัวใจมันก็ชุ่มชื่นชั่วครั้งชั่วคราว แต่กิเลสมันก็ไม่ได้ยุบยอบไปเลย แล้วกิเลสของเรามันก็ยังอยู่ในใจ ศึกษามามากน้อยขนาดไหน ความรู้ขึ้นมาก็เป็นความรู้ทางโลกียปัญญา

แล้วถ้าจิตนี้มันสิ้นชีวิตไป มันก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดไปตามกำลังขับของมัน เพราะเราไม่เห็นความเป็นจริง เรายังไม่ค้นคว้าความจริงในใจของเราขึ้นมา เรายังไม่เห็นหน้ากิเลส แล้วกิเลสหน้าตามันเป็นอย่างไร ลูกหลานกิเลสหน้าตามันเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราศึกษานี่แล้วถ้าเป็นความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาธรรมมา เวลาจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก เวลาจิตสงบแล้วมีความสงบมีความระงับ มีความสุขน่ะ สิ่งนี้เราได้สัมผัสหรือยัง สิ่งนี้เรายังไม่เข้าใจ

ฉะนั้น ความเป็นจริงของเรายังไม่เกิดขึ้น เห็นไหม นี่ธรรมๆ ที่ว่ากิเลสมันกลัวธรรมๆ ถ้ามันกลัวธรรมขึ้นมา อึ่งอ่างมันจากจิตที่มันเป็นอึ่งอ่าง มันก็ปล่อยวางสิ่งนั้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่สมาธิธรรม ถ้ามีสติก็สติธรรม ถ้ามีสมาธิก็สมาธิธรรม ถ้ามีปัญญาก็ปัญญาธรรม ถ้าผลมันสงบขึ้นมานี่สมาธิมีความสงบ มีความสงบความระงับขึ้นมา เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาภาวนามยปัญญาที่มันปล่อยวางขึ้นมา นี่ธรรมที่เกิดจากตทังคปหาน ปหานกิเลสชั่วคราว การปหานกิเลสชั่วคราวแล้วจิตใจของเราก็ร่มเย็น จิตใจของเราก็มีที่พึ่งที่อาศัย นี่ตทังคปหาน นี่ธรรมนี้มันเกิดขึ้น นี่ตทังคปหาน ถ้าเราใช้ปัญญาของเราพิจารณาต่อเนื่องกันไป เวลามันสมุจเฉทปหานเป็นอกุปปธรรมขึ้นมา นี่บุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวก

นี่ธรรมๆๆ ธรรมมันคืออะไรล่ะ แสดงธรรมๆ ธรรมะมันคืออะไร ธรรมะเป็นนามธรรมจับต้องสิ่งใดไม่ได้ แล้วบุรุษ ๔ คู่ เห็นไหม โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุรุษ ๔ คู่ จิตใจมันเปลี่ยนแปลงมันพัฒนาของมันขึ้นไป นั่นสภาวะธรรมมันเป็นแบบนั้นไง ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นจริงกลางหัวใจของเรา

อย่าให้ใจเราเป็นอึ่งอ่าง อึ่งอ่างนะมันทำอะไร สิ่งที่เวลาฝนตก น้ำมันท่วม น้ำขัง เวลามันออกมามันร้องของมันโดยธรรมชาติของมัน มันมีความสุขของมัน แต่ความสุขอย่างนั้นมันเป็นการเรียกร้องเชื้อเชิญ เห็นไหม ด้วยวัฒนธรรม วัฒนธรรมของคน เราอยู่กับวัฒนธรรม สัตว์ที่มันมีนิสัยใจคออย่างไร พรานนักล่าเขาจะใช้สิ่งที่เป็นกับดักกับนิสัยของมัน เขาจะได้นะ ฝนตกใหม่ น้ำใหม่มา ปลามันก็ต้องเล่นน้ำของมัน ปลาจะแหวกหาน้ำใหม่ เขาก็จะเอาไซเอาอะไรไปดักมัน เขาก็ได้ปลามากิน ได้ปลามาเป็นอาหาร

นี่ก็เหมือนกัน อึ่งอ่างมันเป็นอย่างนั้นมันเป็นธรรมชาติของมัน จิตใจของเราไม่ให้เป็นแบบนั้น ถ้าไม่ให้เป็นแบบนั้น เพราะเป็นแบบนั้นแล้วนี่ถึงคราว เห็นไหม เวลาฝนตกน้ำนองไปเลย เราเป็นอึ่งอ่างที่ไม่ออกไปเล่นน้ำกับเขา เรารักษาชีวิตของเรา มันคิดได้ไหม มันคิดไม่ได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น

แต่หัวใจเรานี่เรามีสติปัญญาเราพลิกแพลงได้ เราพลิกแพลง เราดูแลใจของเรา เราไม่ให้ใจของเรามันเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ให้ใจเป็นแบบนั้น เพราะถ้าไม่ให้ใจเป็นแบบนั้นคือสติแล้ว มีสติ มีปัญญา มีธรรมแล้ว มีธรรมธรรมก็รักษาหัวใจไง รักษาหัวใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมา รักษาหัวใจให้มีจุดยืนขึ้นมา ถ้ารักษาหัวใจขึ้นมา นี่มันพัฒนาขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็เป็นพระเหมือนเรานี่แหละ เป็นพระเหมือนกัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่จิตใจของท่านมีมรรคมีผล มีมรรคมีผลตั้งแต่ภาวนาไปขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันมีของมันขึ้นมา ครูบาอาจารย์เรามีวุฒิภาวะแค่ไหน เราเคารพบูชากันอย่างนั้น

เวลาเราเคารพบูชากันทางธรรมวินัย ธรรมวินัยเราเคารพบูชาเพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะของเรา เป็นที่พึ่งของเรา สัจธรรมสอนไว้อย่างนั้น เราก็เชื่อฟัง คือว่าเอื้อเฟื้อต่อวินัย เราก็เอื้อเฟื้อนะ จิตใจเราไม่แข็งกระด้าง เราไม่ต่อต้านต่อธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเอื้อเฟื้อกับธรรมวินัย เราเคารพบูชากันด้วยธรรมวินัย

แต่เวลาท่านมีวุฒิภาวะขึ้นมา เราเคารพคุณธรรมในใจของท่าน ถ้าในใจของท่านมีคุณธรรมขึ้นมา เราเคารพบูชา เคารพบูชาเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นเราปรารถนา นี่จิตใจที่สูงกว่าไง จิตใจของครูบาอาจารย์ที่สูงกว่าเรา เห็นไหม เราอยู่กับท่านเพื่ออะไร? เพื่อพัฒนาใจของเราพัฒนาขึ้นมา ถ้าใจเราพัฒนาขึ้นมาใจเราจะมีคุณธรรมแบบนั้น เพราะสัจธรรมแบบนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย “ไม่มีกำมือในเรานะ อานนท์ ไม่มีกำมือในเราเลย” ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ คำว่าสาธารณะ คือว่าเผยแผ่ธรรมให้พวกเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

เรามีสิทธิไง เรามีสิทธิเรามีการกระทำไง จิตของเราที่มันทุกข์มันยาก มันไม่มีใครปิดกั้นหรอก ว่านี่สงวนลิขสิทธิ์ไว้ อันนี้ผู้นี้ปฏิบัติคนอื่นทำไม่ได้ คนนี้ได้ปฏิบัติคนอื่นห้ามปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วคนนี้จะได้มรรคผล คนอื่นจะไม่ได้ มันไม่มี มันไม่มีหรอก มันเป็นสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมดเลย ถ้าทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมดแล้วเรามีความจริงไหมล่ะ เรามีความจริงของเราสิ เรามีความจริง

ดูสิ เวลากฎหมายบังคับใช้ เราเป็นคนไทย กฎหมายไทยทุกคนต้องยอมรับกฎหมายไทย ทุกคนต้องรู้กฎหมาย ทำผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย กฎหมายบังคับใช้เสมอหน้ากัน

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ดวงอาทิตย์เวลาส่องไปไม่เว้นบ้านคนรวยคนจน บ้านใครก็ได้แสงอาทิตย์ส่องไปเท่ากันหมดเลย แล้วใครเก็บประโยชน์จากแสงอาทิตย์นั้นได้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น ถ้าครูบาอาจารย์ของเราถ้าจิตใจท่านมีวุฒิภาวะมีคุณธรรมในหัวใจ เราอยู่กับท่านด้วยความอบอุ่นนะ อยู่กับท่านท่านแสดงออกอย่างไร เพื่อธรรมอย่างไร เพื่อให้จิตใจเราพ้นจากความเป็นอึ่งอ่าง พ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวมันเอง ถ้าอึ่งอ่างมันถือตัว ถือตัวถือตน ถือว่าเรามีความหมาย เรามี มันมีตรงไหน มันมีก็เป็นทิฏฐิทั้งนั้น

นี่คุณธรรม ถ้าอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นไหม เราก็เสมอภาคกัน เราเกิดมาเป็นคนก็เป็นคนเหมือนกัน เวลาบวชขึ้นมาก็เป็นพระเหมือนกันเท่ากันนี่ มันมีใครสูงกว่าใคร ศีลเสมอกันทั้งนั้น แต่เราเคารพกันด้วยธรรมวินัย เพราะเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพธรรมวินัย เห็นไหม เราเคารพธรรมวินัย

หลวงตาท่านบอกว่า เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระที่ไม่เคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เหยียบย่ำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป เหยียบย่ำธรรมวินัยไป แล้วยังแสดงธรรมเหยียบย่ำธรรมไป แล้วยังคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันทำอย่างนั้นได้อย่างไร เห็นไหม นี่ยิ่งกว่าอึ่งอ่าง อึ่งอ่างมันยังทะนงตนมันเฉยๆ นี่ทะนงตนแล้วยังเหยีบย่ำไปอีก มันยิ่งกว่าอึ่งอ่าง ทำลายไปหมดเลย มันเป็นประโยชน์สิ่งใดล่ะ ถ้าเวลาเป็นกิเลสเขาเรียกเป็นนามธรรม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นนามธรรม แต่เวลาความรู้สึกนึกคิดของเราก็เป็นนามธรรมเหมือนกัน ทำไมจับไม่ได้ เวลาบอกนามธรรมๆ มันสิ่งที่จับต้องไม่ได้เลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเหนือจินตนาการ เหนือโลกจนจับต้องไม่ได้เลย ทำสิ่งใดไม่ได้เลย แต่เวลามันคิดมันทุกข์ ทำไมมันคิดได้ล่ะ

ถ้ามันคิดมันทุกข์อยู่นี่ เวลามันเป็นจริงของมันไง เป็นจริงของมัน เห็นไหม ดูสิความคิดเกิดดับ พลังงานมันมี จิตมันมี จิตมันมี จิตมันมีภวาสวะมีภพอยู่แล้ว มันมีของมัน แต่มีแล้วมันส่งออก ส่งออกโดยที่เราไปกับสติ สติปัญญาเราไปกับเขาหมดเลย ไปหมดเลยมันก็คิดแต่เรื่องวัตถุ คิดแต่สิ่งที่มันเสวยไปแล้วไง คิดถึงสิ่งใดมันก็เห็นภาพนั้น ไม่เห็นตัวเอง

แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะย้อนกลับแล้ว มันจะทวนกระแส ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับไปสู่จิต ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ส่งออก ส่งออกนี่ส่งใจไปอยู่ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมของตัวเองไม่มี

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือชื่อของมันไง ชื่อของศีล ชื่อของสมาธิ ชื่อของปัญญาไง รู้ไปหมดเลย รู้จักชื่อกันมาหมดเลย แต่ตัวจริงมันไม่รู้ไง แต่ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมามันเป็นเอง ไม่ใช่ชื่อ เห็นไหม ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก นี่คุณธรรมมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมามันก็มีรสมีชาติ สดๆ ร้อนๆ เห็นไหม ธรรมะสดๆ ร้อนๆ มันมีรสมีชาติ มันมีความเป็นไปจริงไง

แต่ถ้าเราศึกษาศึกษานี่ได้ชื่อหมดเลย ท่องจนปากเปียกปากแฉะเลย ปากเปียกปากแฉะแล้วก็ส่งออก จิตมันส่งออกไปรับรู้สิ่งนั้น ส่งออกไปแล้วมันทิ้งตัวมันนะ ทิ้งสถานะของเรา ไปอยู่ที่เงาไง ไปอยู่ที่มันส่งออกไปยึดไง แล้วเราบอกว่ากำหนดพุทโธ มันก็กลับมายึดที่นี่ ถ้ากำหนดพุทโธ เห็นไหม แล้วมันก็ไม่ไปปิดกั้น ปิดกั้นด้วยพุทโธๆๆ อยู่ที่นั้น

ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน มันทำที่นี่ทั้งนั้นน่ะ เวลารู้เวลาเห็นมันรู้มันเห็นมันใจของเรา เวลาทุกข์นะ เวลาทุกข์มันก็ทุกข์ในใจของเราแล้วเราก็ไม่รู้ นี่กิเลสมันปิดตาไว้ มันบังตาไว้ พอบังตาไว้ เห็นไหม เวลาเกิดๆ เป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. พ่อแม่มันทะนุถนอมมาก โอ๊ย เป็นเด็ก แหม พ่อแม่ดูแลรักษาอย่างดี มีความสุขจะเอาอย่างไรอะไรก็ได้ เวลาโตขึ้นมาต้องเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง เวลาโตขึ้นมาต้องยืนในสังคมได้ นี่เราไม่รู้ที่มาที่ไปเลย เราไม่เห็นของเราเลย

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือกำหนดบริกรรม เวลาจิตสงบเข้ามามันสังเวชนะ สิ่งที่มีมาทั้งหมด เห็นไหม ผลของวัฏฏะๆ ผลของวัฏฏะมันต้องมีที่มาที่ไปสิ ผลของวัฏฏะคือปฏิสนธิจิตมันเกิด แล้วปฏิสนธิจิตเวลาจิตเข้าสมาธินี่เข้าไปสู่ตัวของมัน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลามันเป็นอัปปนาสมาธินี่ว่างหมด มันปล่อยวางหมดเลย

ถ้าอุปจารสมาธิจิตมันสงบเข้ามามันยังรู้อยู่ ได้ยินเสียงอยู่ มันออกวิปัสสนาได้ไง อุปจาระนี่ที่มันใคร่ครวญกันใช้ปัญญากันอยู่ขั้นตอนนี้ แต่ขณะที่เราพยายามทำความสงบเข้าไป เข้าไปอุปจาระนี่ก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะกำลังไม่พอ จับต้องสิ่งใดไม่ได้ ก็ทำความสงบให้ลึกซึ้งเข้าไปมันก็เข้าไปสู่อัปปนาสมาธิ

เวลาเข้าสู่อัปปนาสมาธินี่มีกำลัง กำลังมันมหาศาลเลย มันสักแต่ว่ารู้นี่มันปล่อยวางหมดเลย ปล่อยวางจิต ปล่อยวางทุกอย่าง สักแต่ว่า จิตกับกายอยู่ด้วยกันแต่ไม่รับรู้กัน นี่จิตมันปล่อยวางกายไว้ตามความเป็นจริงเลย กายส่วนกาย จิตส่วนจิต ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันภาพเชิงซ้อนกันอยู่อย่างนั้นแต่ไม่รู้สึกต่อกัน ถ้ารู้สึกต่อกันรูป รส กลิ่น เสียง มันต้องได้ยิน นี่เวลาลมพัดมา เวลาเสียงกระทบหูมันต้องได้ยินเสียง

แต่ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้เรื่องกายนี้เลย แม้แต่ก้นนั่งอยู่กับพื้นก็ไม่รับรู้ว่ามีก้นมีอะไร ไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีอะไร นั้นน่ะเข้าไปสงบระงับอย่างนั้น เห็นไหม เวลามันคลายตัวออกมา นี่มันเสวยแล้วล่ะ เวลาคลายตัวออกมา เห็นไหม มันคลายออกมาจากอัปปนาสมาธิก็เป็นอุปจาระ แล้วรักษาดูแล รักษาดูแลให้มันเห็นตามความเป็นจริง แล้วจับต้องสิ่งใด นี่มันจะเกิดปัญญาตรงนั้น อุปจารสมาธิ เห็นไหม เวลาถ้าจิตมันสงบระงับมันก็เป็นแบบนั้น ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญามันทำของมัน ถ้าทำอย่างนี้ได้มันปล่อยวาง ปล่อยวางความทิฏฐิมานะเข้ามา

ความว่าเป็นอึ่งอ่าง มันทิฏฐิมานะมันทำให้ฟู มันทำให้เราไม่รู้ไม่เห็นของเรา ทั้งๆ ที่เกิดมานี่ ทั้งๆ ที่จิตอยู่กับเราอยู่กลางหัวอก ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาขนาดไหนก็ศึกษามาเถอะ แต่ถ้ายังไม่รู้ไม่เห็นนี่จับต้องไม่ได้ มันยังงงๆ นะ ศึกษามาแล้วจับต้องสิ่งใดไม่ได้ งงไปหมดล่ะ ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราเลย ศึกษามา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ชูธงไง ชูธงธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชูธงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวเองไม่มีจริง ถ้าตัวเองมีจริงมันจะเข้ามาสงบระงับ มันเข้ามาเป็นความจริง ความจริงขึ้นมา เห็นไหม ดูแลใจของเรา ถ้าใจเรามันพัฒนาขึ้นมาได้ขนาดนี้นะ นี่ออกฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาเกิดนะ ถ้าปัญญาเกิดนี่เราจะเป็นพุทธ เป็นภิกษุโดยตามความเป็นจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาอยู่กับอาฬารดาบส อุทกดาบส ปฏิเสธการทำฌานสมาบัติมา สิ่งที่การทำสมาธิ เห็นไหม พลังจิตๆ ทำสมาธินี่ฤๅษีชีไพรก็ทำมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็ทำสมาธิ เขารู้วาระจิตกันต่างๆ ในสมัยพุทธกาลเขาทำกันเอาจริงเอาจัง ทำทุกรกิริยาต่างๆ มันก็พลังจิตเหมือนกัน นั่นเขามีกำลัง ถ้าไม่มีกำลังเขาจะรู้อดีตชาติได้อย่างไร ถ้าไม่มีกำลังเขาจะรู้อนาคตได้อย่างไร เขาจะทายวาระจิตของคนได้อย่างไร นั่นก็คือกำลัง นี่พลังจิตๆ ถ้าพลังจิตนั่นมันเป็นพวกฤๅษีชีไพร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธความเป็นพลังจิตอย่างนั้น แล้วเวลาทำความสงบของใจเข้ามาด้วยอานาปานสติ สัมมาสมาธิ แล้วเวลาออกฝึกหัดใช้ปัญญาออกใช้มรรคญาณ ถ้าจิตเราสงบแล้วเราออกใช้ภาวนามยปัญญาของเรา อันนี้ต่างหากเราถึงเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราถึงเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการฝึกหัดใช้ปัญญา

พุทธศาสนา พุทธศาสนาเกิดจากภาคที่ว่ามีพื้นฐาน สมถะคือสมาธิ ศีล มีจิตที่สงบระงับเข้ามา พอจิตสงบระงับเข้ามาแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา นี่พุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอย่างนี้เราเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราเป็นภิกษุ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสด้วยความเป็นจริง ด้วยการเดินตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฝึกหัดใช้ปัญญา ไม่ใช่ว่าเกิดพลังจิตๆ แล้วมันจะเป็นไปเอง มันก็อึ่งอ่างเหมือนกัน นั่นล่ะอึ่งอ่างตัวใหญ่เลย อึ่งอ่างตัวใหญ่นี่อึ่งอ่างๆ ไม่มีเหตุมีผล ร้องแต่อึ่งอ่างๆ แล้วมันเกิดอย่างไร ปัญญามันเกิดอย่างไร อ้อ! พลังจิต พลังจิตแล้วมันก็จะเกิดปัญญาเอง ปัญญามันจะเกิดเองเพราะมันมีพลังขึ้นมาแล้ว พลังมาแล้วมันก็จะกลืนกินไปทั้งหมด พลังมันจะเผาไหม้ไปหมด แล้วมันพลังอะไรล่ะ

สิ่งที่เป็นนิวเคลียร์นี่นะ นิวเคลียร์นี่ทางสันติเขาเอามาใช้เป็นพลังงานได้ โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์นี่นะ มันเป็นต้นทุนที่ถูกแล้วมันเป็นพลังงานที่ว่ามันเป็นพลังงานที่ยั่งยืน เขาก็พยายามใช้กัน แต่มันก็มีอันตรายของตัวมันเอง แต่เวลานิวเคลียร์เขาเอาไปทำเป็นระเบิด ทำเป็นอาวุธทำลายล้าง มันทำลายไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเวลาเกิดปัญญานี่มันปัญญาของใคร ที่ว่าจะเกิดปัญญาๆ อะไร ปัญญาอย่างไร เห็นไหม ดูสิ พลังจิตแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง นั่นมันระเบิดปรมาณูนั่นน่ะ มันระเบิดตัวเอง มันระเบิดโอกาส มันทำลายทิ้งไปหมด

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นผู้ที่ฉลาด พอเป็นผู้ที่ฉลาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างพลังงานขึ้นมา เอาพลังงานอันนั้น พลังงานเกิดจากนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ เห็นไหม มาใช้ประโยชน์ นี่ใช้ปัญญารักษาไม่ให้พลังงานนั้นมันทำลายใคร ให้พลังงานนั้นเป็นพลังงานสันติ ให้พลังสันตินี่ปัญญาๆ ไง

ดูสิเวลาทางโลก ปัญญาทางโลก ปัญญาทางทุจริต ปัญญาทางที่ทำร้ายกัน ปัญญาจากกิเลส กิเลสมันทำร้าย ทำร้ายกันหมดเลย แต่เวลาเกิดปัญญา ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาที่เข้ามาชำระล้างกิเลส ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันต้องฝึกหัด ถ้ามันไม่ฝึกหัดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฤๅษีชีไพรนี่ อุทกดาบส อาฬารดาบส เขาได้สมาบัติ ๘ อยู่แล้ว ถ้าสมาบัติ ๘ พลังจิตๆ พลังจิตแล้วมันจะเป็นอย่างไร นี่อึ่งอ่างทั้งนั้นน่ะ เพราะว่าไม่มีความรู้จริงไง

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรามีความรู้จริง องค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าใช้ปัญญานะ เวลาถ้ามันจะใช้ปัญญา ถ้าจิตไม่สงบ ปัญญาอะไร เวลาไม่มีปัญญา นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพูดสอนเองให้พุทโธๆๆ ให้จิตสงบให้ได้ ถ้าจิตสงบแล้วต้องมีสติปัญญา

คำว่า “สติปัญญา” ดูสิ จิตเราจะควบคุมมันอย่างไร เราจะให้จิตทำงานอย่างไร เวลาออกไป ออกไปจับต้องอะไร เวลามันออกไปเสวยอารมณ์ ออกไปทุกข์ไปยาก มันออกไปยึดมั่นถือมั่นในโลกนี่อย่างนั้นเราไม่รู้ไม่เห็นเลย ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ขึ้นมา เวลาทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่ามันทุกข์ๆๆ ทุกข์มันเกิดจากอะไร ทุกข์เกิดจากสมุทัย สมุทัยคือไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่างๆ ยึดมั่นอารมณ์ความรู้ตัว ยึดมั่นสิ่งที่เป็นปมในใจ ยึดมั่นสิ่งที่เป็นตะกอนในใจ ยึดมั่นแล้วก็ทุกข์ๆ อยู่นี่

แต่ถ้าเวลาเรากำหนดพุทโธๆ ให้มันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางสัญญาอารมณ์นั้นเข้ามา ถ้าปล่อยวางสัญญาอารมณ์เข้ามานี่เวลาจิตมันสงบแล้ว พอฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาอย่างไร? เราจะควบคุมปัญญาอย่างนี้อย่างไร เราจะควบคุมสติ ควบคุมสมาธิ ควบคุมปัญญาให้มันเกิดปัญญา ควบคุมจิตให้เกิดปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดปัญญาขึ้นมามันก็เป็นมรรค

ถ้าเป็นมรรคขึ้นมา มันเป็นมรรคขึ้นมาได้อย่างไร? เป็นมรรคเพราะมันเห็นโทษไง เห็นโทษการเป็นสมาธิเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ถ้าเสื่อมก็เสื่อมเพราะกิเลสมันครอบงำ มันก็จะเป็นอึ่งอ่างไปแล้วล่ะ อึ่งอ่างมันก็อึ่งอ่างๆ เดี๋ยวเขาก็จับไปกิน แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา รักษาสมาธิไว้ สมาธิเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันก็เป็นทุกข์อันหนึ่งแล้ว

ความทุกข์ที่การรักษาหัวใจนี่รักษาได้ยาก เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสเพราะเรามีสติปัญญาของเรา เราถึงมีสติปัญญา เรามีศรัทธาความเชื่อรักษาใจของเราได้ขนาดนี้ ถ้ารักษาใจได้ขนาดนี้ พอมันสงบระงับขึ้นมาแล้วมันจะออกฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้น เห็นไหม เกิดขึ้น ดูสิ เวลามันไปยึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นความทุกข์ เวลามันปล่อยมามันก็เป็นความสุข แล้วความสุขอย่างนี้มันก็เป็นความสุขชั่วคราว ความสุขที่มันเป็นกุปปธรรมคือเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ

ฤๅษีชีไพรจะมีความจิตสงบขนาดไหน ถ้าจิตเขาเวลาเขาจะตายลง ตายในขณะที่จิตเขาเป็นสมาธิอยู่ เขาไปเกิดบนพรหม เกิดเป็นพรหมอายุก็ยืนยาวขึ้นมา แล้วก็ตายจากพรหม มันก็เวียนตายมาผลของวัฏฏะ เพราะมันไม่ได้ชำระล้างกิเลส นี่พลังจิตๆ มันไม่ได้ชำระล้างกิเลส กิเลสมันก็อยู่ในใจนั้น ไม่ได้ชำระกิเลสแล้วมันจะเป็นอย่างไร

แต่ถ้ามันจิตสงบแล้วนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธศาสนา สอนไม่ให้เป็นอึ่งอ่าง ให้เป็นโค เห็นไหม ให้เป็นผู้ที่ฉลาด ให้เป็นคนที่รักษาหัวใจพาใจของตัวออกรื้อค้น รื้อค้นสิ่งที่มันเป็นทิฏฐิมานะ รื้อค้นสิ่งที่เป็นในหัวใจ รื้อค้นสิ่งที่มันจะครอบงำ ครอบงำเพราะจิตมันสงบแล้วนี่ เวลามันเสื่อมออกมามันก็เสื่อมออกมาสู่ขันธ์ เวลามันเสื่อมออกมาก็เสื่อมสู่สัญญาอารมณ์นั่นน่ะแล้วเสื่อม สัญญาอารมณ์เราก็เป็นสัญชาตญาณ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่เป็นอย่างนั้น แต่พอจิตสงบเข้ามาแล้วนี่ เวลาจิตสงบแล้วเราไม่ให้มันเสื่อม พอไม่ให้เสื่อมมันเสวย มันจับ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นธรรม สัจธรรมมันอยู่ตรงนี้

ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมามันเป็นปัญญาในพุทธศาสนา เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราไม่ใช่อึ่งอ่าง ร้องแต่อึ่งอ่างๆ แล้วมันก็ไม่ได้ผลอะไรขึ้นมาเลย แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะเสวย เสวยคือรู้สึกไง เสวยแล้วมันคายออกมาก็รู้สึก เวลาจิตสงบเข้าไปแล้วนี่มันปล่อยวางหมด มันเป็นเอกัคคตารมณ์ มันตั้งมั่น มันเป็นหนึ่งของมัน แล้วเวลามันออกมารับรู้อารมณ์ นั่นน่ะมันออกมา แต่เราไม่เห็นไง

เพราะปัญญาเราอ่อนด้อย เราไม่เห็นเราจับต้องไม่ได้ไง ถ้าเราเห็นเราจับต้องได้ เราจับได้เราจับได้จากอะไร จากธรรมารมณ์ กาย เวทนา จิต ธรรม สัจธรรมๆ อารมณ์ความรู้สึกมันเกิดขึ้นตลอดเวลา มันมีของมันอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมนุษย์ แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านวางธรรมวินัยนี้ไว้ให้เราศึกษาธรรม ศึกษามาก็ศึกษาเป็นความรู้ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันเป็นความจริงขึ้นมา แต่มันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วเวลามันสงบแล้วมันเห็นของมัน เห็นของมันเวลามันออกรู้ ออกรู้มันกระทบ นี่ต้องจับให้ได้ ถ้าจับได้ เห็นไหม

ดูสิ เวลาขั้นของสมถะของสมาธิ เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันสงบเข้ามา แต่เวลามันสงบแล้ว สงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่สิ่งที่ออกใช้มันสำคัญมาก สำคัญมากเพราะมันเป็นปัญญาในพุทธศาสนา สำคัญมากว่าเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมันมีสมาธิที่มั่นคง มีสมาธิสะอาดบริสุทธิ์ มันถึงเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในพุทธศาสนา แต่มันไม่เกิดสัมมาสมาธิ มันเป็นสัญญาทั้งหมด มันเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด มันเป็นปัญญาของกิเลสทั้งหมด

ปัญญาของกิเลสทั้งหมดมันก็ชูธงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวเองไม่มีธรรม ตัวเองไม่มีธรรมโอสถ ตัวเองไม่มีธรรมาวุธ ตัวเองไม่มีสัจธรรมในความเป็นจริงขึ้นมา แต่ถ้ามันมีสติปัญญาของมันขึ้นมาได้ มันจับของมันได้ มันพิจารณาของมันได้ มันแยกแยะของมัน มันจะเป็นธรรมของใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นมันพิจารณาของมันเอง เห็นไหม มันไม่เป็นอึ่งอ่างแล้ว

มันจะเป็นบุคคล ๔ คู่ คู่ที่ ๑ มันจะเกิดขึ้นมา ใจจะพัฒนาของมันขึ้นมา ถ้าพัฒนานี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราพระแท้ๆ เราเป็นพระในพุทธศาสนา เราเป็นพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ใช่เป็นพระของฤๅษีชีไพร เราไม่ใช่พระที่ทำพลังจิต เราเป็นพระที่สร้างความสงบของใจให้ใจมีกำลังขึ้นมา แล้วเราพิจารณาของเราขึ้นมา เราเป็นพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ใช่เป็นพระของฤๅษีชีไพร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธความเป็นฤๅษีชีไพรมาแล้ว

ถ้ามันปฏิเสธมาอย่างนั้น เราทำของเราให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาเราปฏิบัติของเรา เราทำเพื่อเรานะ เราทำเพื่อเรา ถ้าจิตมันจับต้องได้มันพิจารณาของมันได้ มันจะแยกแยะได้ คนทำได้ คนทำงานเป็น คนทำงานไม่เป็นล้มลุกคลุกคลาน คนทำงานเป็นแล้วมันจะเป็นของมันได้ ถ้าคนทำงานกำลังทำงานอยู่นี่เราทำงานสิ่งใดไม่ได้ เรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งนะ มีสิ่งใดเราทำของเราไป ถ้ามันผิดพลาดขึ้นมา ครูบาอาจารย์จะบอกเรา

หลวงตาท่านพูดอยู่บ่อย เวลาไปถามครูบาอาจารย์ขณะที่ว่าออกมาเที่ยววิเวกนี่ อ้อ! ความรู้แค่นี้หรือจะมาสอนเรา ความรู้แค่นี้จะมาสอนเรา มันสอนอะไร? เพราะจิตใจของเรามันมีข้อเท็จจริง แต่เขาจำตามๆ มาบอก เขาทำมาบอก มันไม่เหมือนกันหรอก ถามเรื่องม้ามันตอบเรื่องโค ถามเรื่องช้างมันตอบเรื่องม้า ถามเรื่องปลามันตอบเรื่องปู มันคนละเรื่อง ปูๆ ปลาๆ ลูบๆ คลำๆ ไปอย่างนั้น อย่างนี้หรือจะสอนเรา อย่างนี้หรือจะบอกเรา มันไม่ยอมรับหรอก

แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะ พูดสิ่งใดมันตรงต่อความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว แต่เราปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ เราพอรู้พอเห็นเป็นเงาๆ เป็นเลือนรางขึ้นมานี่มันไม่ชัดเจน เวลาครูบาอาจารย์พูดเราก็งงนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านชี้มานะ ม้าเป็นม้า โคเป็นโค ควายเป็นควาย ปลาเป็นปลา ปูเป็นปู มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แต่เราก็ยังงง ชี้นกเป็นไม้ เราชี้ไม้แล้วเป็นนก เราก็ยังงงๆ อยู่น่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าเป็นความไม่จริงมันตอบไปไหนมา ๓ วา ๒ ศอกเลย แล้วอย่างนี้หรือจะทำให้เราไว้ใจ อย่างนี้หรือจะเป็นผู้นำเรา มันเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้ามันจะเป็นไปได้จริงคือจริง มันจริงทั้งนั้นน่ะ แต่ขณะที่เราทำเรายังไม่จริง เรากำลังปฏิบัติ มันกำลังพัฒนาของมัน ถ้าพัฒนามันรู้มันเห็นของมัน มันต้องเป็นอย่างนี้ การทำงานนี่ครูบาอาจารย์ต้องผ่านอย่างนี้มาทั้งนั้นน่ะ ต้องล้มลุกคลุกคลานมา จากผิดมาถึงถูก จากปุถุชน ใครเกิดมาไม่เป็นปุถุชน ใครปฏิบัติแล้วนี่ถ้าไม่เป็นปุถุชน เป็นกัลยาณปุถุชนจิตมันสงบเข้ามา แล้วถ้ายกขึ้นโสดาปัตติมรรค เอ้อ! คนนี้ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรคแล้ว นี่จุดไฟติดแล้ว พอมันไปมันจะไปอย่างไร มันจะไปสู่โสดาปัตติผล มันเป็นความจริงอย่างไร ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้เกิดขึ้นมามันจะเป็นความจริง

เราถึงต้องตั้งใจของเราทำของเรา ดูแลหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงนะ มันทำ พอจิตมันสงบแล้วมันจับต้องสิ่งใดได้ จิตยังไม่สงบก็ฝึกหัดใช้ปัญญาของเราไปเรื่อย ปัญญานี่ฝึกหัดใช้ได้ ฝึกหัดใช้เพื่อให้มันฉลาด ฝึกหัดใช้เพื่อมันจะแก้ไขสิ่งที่เราไปยึดมั่น สิ่งที่มันพาเราล้มลุกคลุกคลาน เราฝึกหัดใช้ได้ ไม่ใช่ว่าต้องจิตสงบจนเข้าไปอัปปนาสมาธิค่อยใช้ปัญญา ปัญญานี่ฝึกหัดใช้มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาเพื่อที่จะทำให้เรามั่นคงขึ้นมา

ฉะนั้นเวลาปัญญาเกิดขึ้นมาเราก็รู้ว่าปัญญาอย่างนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ไม่ใช้ถึงกับชำระล้างกิเลส คำว่าไม่ใช่ มันจะทำให้จิตใจนี้ไม่เห่อเหิมไง คือว่ามันเป็นข้อเท็จจริง ปัญญาอย่างหยาบก็รักษาอย่างหยาบ อย่างเช่นทางการช่าง เห็นไหม เครื่องมือสิ่งใดก็ใช้กับทำงานชนิดนั้น จะเลื่อยไม้ก็ต้องใช้เลื่อย ถ้าจะเชื่อมเหล็กก็ต้องใช้สายเชื่อมไฟฟ้า เราจะทำงานสิ่งใดมันก็ต้องใช้เครื่องมืออย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตเราฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้เราใช้ปัญญาของเราอยู่ เราใช้ผิดที่ไง เพราะความเห็นผิดไง เราจะเลื่อยไม้เราก็ไปเลือกเอาเครื่องเชื่อมเหล็กมาจะมาเลื่อยไม้ มันเป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เครื่องเชื่อมเหล็กมันก็ต้องเชื่อมกับเหล็ก เวลาเขาจะเลื่อยไม้ก็ต้องใช้เลื่อยไม้

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นภาวนามยปัญญา มันฝึกหัดใช้อยู่มันก็ใช้ของมันไป ฝึกหัดใช้มัน มันใช้ตรงต่อเหตุต่อผล มันก็เป็นความจริงไง มันก็มีผลงานของมันออกมาไง ถ้าผลงานออกมา ขณะที่ทำมันมีเหตุมีผลอย่างนี้ ถ้ามีเหตุมีผลอย่างนี้มันทำของมันขึ้นไป มันพิจารณาของมันขึ้นไป อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเราไม่ใช่ช่าง เราไม่ใช่ช่างเราจะเลื่อยไม้มันไม่ตรงหรอก เลื่อยเสร็จแล้วมาตีมันเข้าไม่สนิทหรอกเพราะอะไร? เราไม่มีความชำนาญ

แต่ถ้าเราทำบ่อยครั้งๆ มันจะชำนาญขึ้น เราจะเป็นช่างไม้ เราจะเป็นช่างเหล็ก ถ้ามันทำบ่อยๆ มันจะชำนาญ ความชำนาญอันนั้นก็เหมือนกับการเราภาวนานี่ เวลาจิตเราพิจารณาของเราไปเราก็ทำบ่อยครั้งเข้า อ้าว! คราวนี้มันเข้าแล้วเนอะ มันอ้าๆ เอ่อ แต่มันก็ทำได้ จากที่ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำสิ่งใดไม่ได้เลย แต่พอฝึกหัดไปๆ มันชักทำได้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา แต่ไม่สวยไม่งาม แต่พิจารณาซ้ำๆๆๆๆ ฝึกหัดบ่อยๆๆ มันก็จะถนัดขึ้น มันก็จะสวยงามขึ้น ดีขึ้น เป็นชิ้นเป็นอัน โอ้โฮ! อันนี้ใครทำ ทำไมมันยอดขนาดนั้น ยอดขนาดนั้นมันก็อึ่งอ่างนะ ยึดติดไง ดีและชั่ว

เราจะต้องทำให้มันมัชฌิมาปฏิปทา ทำของเราไปเรื่อย ทำของเราไปเรื่อย ถึงที่สุด ถ้ามันสมดุลของมัน เห็นไหม ถ้าสมดุลของมัน มรรคสามัคคี แปลกมากนะ นี่ความมรรคสามัคคี มรรค ๘ มันรวมลงได้อย่างไร สมุจเฉทปหานด้วยความเป็นสัมปยุตเข้าไปอย่างไร มันเกิดขึ้นกลางหัวใจ ถ้าไม่เกิดขึ้นกลางหัวใจมันจะเป็นสันทิฏฐิโกได้อย่างไร มันเป็นสันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง กลางหัวใจเลย กุปปธรรม อกุปปธรรม จากกุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา มันเวียนตายเวียนเกิด มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พอมันพิจารณาของมันถึงที่สุด เวลามันขาดออกเป็นอกุปปธรรมไปนี่ เห็นไหม

ธรรมที่เป็นามธรรม ธรรมที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมคงที่ สิ่งที่มันเป็นนามธรรมมันไม่เกิด ไอ้ที่ว่าสิ่งนี้เป็นนามธรรมมันเวียนตายเวียนเกิดอยู่นี่ ไอ้สิ่งที่นามธรรมมันไม่มีอาการไปอาการมามันเป็นอย่างไร มันประหลาดมาก ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มี โลกนี้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มี แต่ถ้าเป็นธรรมๆ อกุปปธรรมนี่ของมันเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหนนะ ถึงได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมและวินัยนะ

เราเป็นคนที่อำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาจริงๆ เพราะว่าสิ่งต่างๆ การโยกคลอน ดูศาสนาสิ เวลาเจริญก็เจริญมาก แต่เวลาคนเข้ามาในทุกยุคทุกคราว นี่คนปลอมบวชมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล จนขนาดพระเจ้าอโศกนี่จับสึกๆ เห็นไหม ปลอมบวชเข้ามาในพุทธศาสนามหาศาล นี่ไง เพราะมันมีความจริงอยู่ไง มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญมาพอสมควรในเรื่องศาสนาของเรา ในปัจจุบันนี้เพราะเรามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทำให้มรรคผลมันชัดเจนขึ้นมา ทำให้พวกเรามั่นคงขึ้นมา แล้วในปัจจุบันนี้มันก็มีการกระทบกระเทือนตลอดเวลา

เรายังมีศรัทธา เรามีความมั่นคงอยู่นี่มันต้องมีจุดยืนของเรา ถ้ามีจุดยืนของเรา แสดงว่าเรามีอำนาจวาสนา เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา แล้วได้บวชมาเป็นพระ เป็นพระคือนักรบ รบกับทิฏฐิมานะของเรา รบกับอึ่งอ่างในใจ ถ้ามันมีสติมีปัญญานะ มันจะทำลายอึ่งอ่างในใจของเราให้เป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมนะ เป็นทองทั้งแท่ง เอโก ธัมโม นี่ธรรมอันเอก สถิตในใจของเรา ถ้าเราทำจริง สมความปรารถนา เอวัง